ความคืบหน้ากรณีแม่ของเด็กสาวเหยื่อรถชน ร้องขอความเป็นธรรมหลังแพ้คดีในชั้นฎีกา ล่าสุดเตรียมจำนำรถยนต์ส่วนตัว เพื่อนำเงินมารักษาลูกสาวที่นอนป่วยติดเตียง
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.2563 จากกรณีที่นางสุพัตรา มนต์แก้ว อายุ 47 ปี เจ้าของร้านตัดเย็บเสื้อผ้าใน อ.เมืองยะลา จ.ยะลา ได้ร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชน
หลังจากที่ลูกสาวคนเล็กของครอบครัวประสบอุบัติเหตุ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา จนทุกวันนี้ กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง
ผ่านการผ่าตัดสมองมากกว่า 10 ครั้ง แต่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องจ้างพยาบาลวิชาชีพมาดูแลเดือนละ 2 หมื่นกว่าบาท ขณะที่คู่กรณีที่ประสบเหตุ
ก็ไม่เคยติดต่อมาดูแล หรือสอบถามสารทุกข์ นานกว่า 3 ปี ตั้งแต่เกิดเหตุ
โดยล่าสุดนั้น นางสุพัตรา มนต์แก้ว ผู้เป็นแม่ของ “ น้องน้ำขิง” หรือนางสาวรับพร ธรรมฤกษ์ฤทธิ์ อายุปัจจุบัน 16 ปี ที่ตกเป็นเหยื่ออุบัติเหตุในครั้งนั้น
เตรียมนำรถยนต์ส่วนตัวไปจำนำ เพื่อนำเงินมาจ่ายเป็นค่าจ้างให้กับพยาบาลพิเศษที่ดูแล น้องน้ำขิง ซึ่งจากการสอบถามก็ทราบว่า การจ่ายค่าจ้างพยาบาลพิเศษนั้น
ได้ทำสัญญาจ่ายค่าจ้างเป็นรายปี รวมแล้วก็เป็นเงินเกือบ 3 แสนบาท แต่ด้วยตนเองต้องทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว
จึงมีภาระหลายอย่างที่ต้องดูแลใช้จ่าย จึงมีความจำเป็นและใกล้ครบสัญญาว่าจ้างพยาบาลพิเศษดูแลน้องน้ำขิง จึงเตรียมนำรถยนต์ส่วนตัวที่มีอยู่ไปจำนำ เพื่อเอาเงินมาจ่ายเป็นค่าจ้างในปีถัดไป
ในส่วนของเรื่องคดีความนั้น นางสุพัตรา มนต์แก้ว บอกว่า ตนเองก็ไม่ได้มีความรู้ด้านกฎหมาย และหลังจากที่เกิดเหตุ ก็ต้องอยู่ดูแลลูกสาวอย่างใกล้ชิด
จึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องของคดีความ ด้วยความที่ไว้วางใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ และรักษากฎหมายบ้านเมือง ก็เชื่อว่า ลูกสาวตนเองนั้น ไม่ผิด
เพราะเป็นฝ่ายถูกชนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งภายหลังเกิดเหตุนั้น ก็ไม่ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายผู้ที่เป็นคู่กรณีไม่ว่าเรื่องใดทั้งนั้น คู่กรณีไม่มีการยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ
หรือเสนอค่าชดเชยความเสียหายแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งตอนที่ลูกสาวนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล คู่กรณี ก็ไม่ได้แสดงถึงความห่วงใย
หรือความรับผิดชอบ แม้แต่จะไปเยี่ยมสักครั้ง ก็ไม่เคยมี จนถึงปัจจุบัน 3 ปีแล้ว ตนเองยังไม่เคยเห็นหน้าตาของคู่กรณีที่ประสบเหตุเลยว่าเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ ประจักพยาน ซึ่งเป็นพยานบุคคล ที่มาพบภายหลังเกิดเหตุ 1 ปี ที่ได้เล่าให้ฟังว่า ได้ขับรถตามหลังรถจักรยานยนต์ที่ลูกสาวตนเองซ้อนท้าย
ก่อนไปประสบอุบัติเหตุ และได้ลงไปให้ความช่วยเหลือปฐมพยาบาล ก่อนที่จะส่งตัวไปโรงพยาบาล ก็เล่าว่าเห็นช่วงที่รถจักรยานยนต์ถูกชน เพราะรถคู่กรณีนั้น
ขับแซงรถกระบะอีกคันที่อยู่ในเลนเดียวกัน จนมาชนเข้ากับรถจักรยานยนต์ที่ลูกสาวตนเองซ้อนท้าย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บในครั้งนั้น
แต่เมื่อขอความร่วมมือไปยังบุคคลดังกล่าวให้เป็นพยาน เล่าเหตุการณ์ให้กับผู้สื่อข่าวได้ฟัง บุคคลดังกล่าวกลับอ้างว่า เกรงความไม่ปลอดภัย
เนื่องจากที่ผ่านมานั้นหลังเกิดเหตุ และตนเองพยานแล้ว ได้สังเกตว่ามีบุคคลลึกลับ เป็นผู้ชายสองคน มาวนเวียนที่บ้านพักอยู่หลายครั้ง แม้แต่ที่ทำงาน
ยังเคยถูกคู่กรณีพร้อมกับผู้ชายอีกคน ขับรถมาวนเวียนอีกด้วย จึงทำให้รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย
ขณะที่ผู้ปกครองของเด็กอีกสองราย ที่ประสบเหตุในครั้งนั้น ก็บอกกับนางสุพัตรา มนต์แก้ว เช่นเดียวกันว่า ได้มีบุคคลต้องสงสัย ที่มาขับรถวนเวียนอยู่ในระแวกบ้านอยู่หลายครั้ง
ซึ่งตนเองก็ไม่คิดว่า แค่เรื่องอุบัติเหตุ จะมีการคุกคามเอาเรื่องกันถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตาม นางสุพัตรา มนต์แก้ว บอกอีกว่า ตนเองต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับลูกสาว และอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความเป็นธรรมในกรณีดังกล่าว
เนื่องจากที่ผ่านมา ในการตัดสินของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ นั้นฝ่ายตนเองเป็นผุ้ชนะ แต่เมื่อศาลพิจารณาในชั้นศาลฏีกาแล้ว กลายเป็นว่า ศาลยกฟ้องให้จำเลย
คู่กรณีไม่มีความผิดแต่อย่างใด ทั้งที่ตนเองก็ไม่ได้เห็นพยานหลักฐานที่อีกฝ่ายนำมาชี้แจง เพราะในขณะนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำสำนวนคดี บอกว่าไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิด
เนื่องจาก กล้องวงจรปิดใช้การไม่ได้ จึงทำให้ไร้พยานหลักฐาน อีกทั้งเอกสารที่จะยืนยันการตรวจสภาพร่างกาย หรือตรวจวัดแอลกอฮอลของฝ่ายคู่กรณี มีหรือไม่
ตนเองก็ไม่รู้ถึงกระบวนการขั้นตอนของพนักงานสอบสวนผู้ทำสำนวนคดี ซึ่งอย่างไรก็ตามตนเองก็มองว่าลูกสาวของตนเอง ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการทางกฏหมายในครั้งนี้
ซึ่งตนเองจะเดินหน้าเอาเอกสารหลักฐานที่มีอยู่ ไปร้องขอความเป็นธรรมกับศูนย์ดำรงธรรมเพื่อให้มีการตรวจสอบอย่างพยานหลักฐานในคดีอย่างละเอียดอีกครั้ง/.
#เพจข่าวยะลาทูเดย์
#ร้องขอความเป็นธรรม
ขอบคุณที่มา – เพจ Yala ToDay ยะลา ทูเดย์