ดราม่า โรงเรียนดังในยะลา ติดอันดับเทรนด์ทวิตเตอร์

วันนี้ทั้งวันติดตามข่าวคราวความคิดเห็นของทั้งเด็กและไม่เด็กต่อประเด็นนี้ อย่างแรกเลยคือเห็นชัดว่ามีนักเรียนที่ สุดทน กับอะไรต่ออะไรในโรงเรียน และมีคนที่ สุดทน ต่อนักเรียนที่มาพูดในทวิตเช่นกัน (วัดจากการที่มีข้อหาสุดคลาสสิค เล่นทวิตแฉปัญหาในโรงเรียน=บาป ฮ่า)

เอาละมาดูกันที่ละข้อดีกว่า นี่คือสิ่งที่เราสังเกตเห็นละท้ายๆจะเป็นความเห็นส่วนตัว
1. นักเรียนและศิษย์เก่าหลายท่านโพสต์ถึงประสบการณ์การด้านลบในโรงเรียนและคำถามต่อสิ่งต่างๆ เช่น การลงโทษนักเรียน LGBT ด้วยการโกนผม, การแห่ประจานนักเรียนที่ถูกจับได้ว่าไปนอนด้วยกัน, การลงโทษการแต่งกายผิดระเบียบด้วยการตัดขากางเกง, ความมีอภิสิทธิ์และอำนาจพิเศษของประธานนักเรียน (Dewan Pelajar) โอ้ย เยอะแยะ !
2. ประเด็นการเรียนในโรงเรียนและfacility ในโรงเรียน การเรียนที่หนัก 10 คาบต่อวัน, อุปสรรคด้านภาษาในวิชาศาสนา ห้องน้ำไม่มีกลอน (กันนักเรียนแอบดูดบุหรี่ป่าวววว 555)​ เรียนห้องโปรแกรมแต่ไม่มีอะไรแตกต่าง บลาๆๆๆ
เท่าที่สังเกตความคิดเห็นก็จะเป็น 2 ประเด็นนี้ซะเยอะ รายละเอียดแตกต่างกัน แน่นอนการใช้ทวิตของเด็กมัธยมไม่ใช่ภาษาวิชาการ ไม่ได้กลั่นกรองเอาอารมณ์ออกไป (เด็กเค้าไม่กรองหรอก เพราะชีวิตปกติถูกห้ามแสดงออกทางความรู้สึกต่อเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ผู้ใหญ่ต้องเข้าใจหน่อย)

ฝั่งที่ Defend โรงเรียนก็แย้งไป อาจมีเหตุผลบ้างแต่เราว่ายังเบาบางไม่ตั้งอยู่บนหลักการอะไรๆที่ชัดเจน เช่น กฎหมาย กฎชาริอะห์ หลักสิทธิมนุษยชน ฯลฯ แต่หลายความคิดเห็นไปในทำนองว่า นักเรียนทำลายเกียรติศักดิ์ศรีโรงเรียน นักเรียนไม่เห็นคุณค่าของศาสนา นี่ยังไม่นับการด้อยค่าด้วยการเรียกนักเรียนว่าพวก ลิเบอรัล (ในวงการอิสลามๆ เนี่ย ไม่ค่อยถูกกับอะไรๆที่มี ism ต่อท้ายเช่น Capitalism, Liberalism, Secularism, Socialism etc. แต่อาจจะสบายใจหน่อยกับ Authoritarianism หรืออำนาจนิยม?)

แก่นสารของเรื่องนี้ต้องมองแบบโครงสร้างแล้ว มันมองจากปัญหาตัวบุคคลไม่ได้ นักเรียนถามคำถามในทำนองว่า ปัญหามันมีเยอะขนาดนี้ โรงเรียนทำยังไง ผลที่ได้คือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นั่นเท่ากับว่านักเรียนเริ่มมองว่าโรงเรียนและส่วนประกอบของโรงเรียนที่มีอำนาจ กำลังใช้อำนาจอะไรบางอย่างกดทับ กดขี่เค้า และใช้ทุกโอกาสเพื่อรักษาและแสดงอำนาจตามอำเภอใจ และอยู่บนหลักการที่เบาบางมากๆ
หลายคนที่แย้งเอาเข้าจริงก็มีประสบการณ์ด้านลบไม่ต่างกัน แต่นั่นแหละโรงเรียนก็ถูกทำให้เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว มีการ Romanticize เรื่องแย่ๆในโรงเรียนด้วยซ้ำ ซึ่งมันจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น ทำอย่างนี้ต่อไปอย่างมากก็ได้แค่ประวิงปัญหาไว้ ซักวันมันก็จะปะทุขึ้นอีก คือโลกมันหมุนไปแล้ว และมันจะไม่หมุนกลับไปเหมือนเดิม อันนี้ต้องรับรู้กันก่อน

เราแนะนำให้ผู้ใหญ่ฟังเด็กแล้วแหละ ฟังแบบเอาสาระนะไม่ใช่ฟังเสร็จละแย้งเด็กไปเพื่อกดเด็กซ้ำ แน่นอนเด็กจะพูดด้วยอารมณ์แต่นั่นเป็นธรรมชาติของเด็ก ผู้ใหญ่ต้องมีวุฒิภาวะมากพอที่จะกรองเอาอารมณ์ออกไปให้เหลือแต่สารที่เด็กต้องการสื่อ ได้ความยังไงก็ลองปรับดู นี่เป็นกระบวนการแชร์อำนาจแบบง่ายๆ ไม่เสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีอะไรเลย

จริงๆประเด็นมันแตกไปเยอะมาก ส่วนตัวเองก็เก็บข้อสังเกตไว้เยอะ แต่มันจะฉีกออกไปจากเนื้อหานี้ เลยสรุปเอาแค่นี้ก่อน ใครอยากถกเราก็ยินดีถกในแชทถือว่าแลกเปลี่ยนมุมมองกัน
เราบอกพ่อบ่อยๆว่าให้ดื่มน้ำเยอะๆ ลดอาหารเค็มละยอดผักเพราะเก๊าต์จะกำเริบ เราเตือนข้อบอกพร่องของพ่อก็เพราะเรารักพ่อแหละ
เด็กนักเรียนเค้าก็คงเหมือนกัน

โพสดังกล่าว

เครดิตDel Hj Yama

อ่านต่อ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *