ครอบครัวเด็กสาว เล่าจุดเกิดเหตุ เหยื่อ”ผอ.ชักปืน”

“รู้สึกกังวลความปลอดภัยของลูก จนตอนนี้ไม่ได้ไปทำงาน มาอยู่เฝ้าลูก ญาติก็มาร่วมอยู่เฝ้าด้วย ไม่ต้องทำอะไรกันเลย เพราะห่วงความรู้สึกของลูก”

เป็นคำบอกเล่าเสียงเครียดปนเศร้าของแม่เด็กหญิง ม.3 ที่ตกเป็นข่าวมีความสัมพันธ์กับครูระดับ ผอ.โรงเรียน ที่ อ.เทพา จ.สงขลา

เรื่องราวความสัมพันธ์ต้องห้ามที่ผิดจริยธรรมครูอย่างร้ายแรงนี้ เป็นที่รับรู้ของครอบครัวและคนใกล้ชิดมาก่อนเกิดเหตุการณ์ ผอ.เปิดเสื้อสูทโชว์ปืนหน้าเสาธง จนนักเรียนนับพันแตกกระเจิง ที่ผ่านมาครอบครัวได้แจ้งความดำเนินคดีกับ ผอ. แต่ฝ่าย ผอ.ก็ส่งครูมาเจรจาเพื่อเสนอจ่ายค่าเสียหาย แลกกับการยอมถอนแจ้งความ ทำให้ครอบครัวของเด็กหญิงยิ่งเครียด

เหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกของลูก…

“โรงเรียนหยุดไปเมื่อวันศุกร์ เปิดอีกครั้งวันจันทร์ เด็กคนอื่นๆ ได้ไปโรงเรียนตามปกติ แต่ลูกเราไม่ได้ไป ตำรวจบอกว่าให้ไปที่ศาลนาทวี เพื่อไปให้ปากคำคดีพรากผู้เยาว์ (น่าจะเป็นในส่วนของศาลเยาวชนฯ) สำหรับเรื่องเรียนก็ยังคิดอยู่ว่าจะเอาอย่างไรต่อ จะให้ลูกไปเรียนที่อื่นไหม ก็ยังปรึกษากันอยู่ในครอบครัว ที่สำคัญต้องดูสภาพจิตใจลูกด้วย เพราะตอนนี้เขายังรู้สึกแย่มาก ยังซึมเศร้า เก็บตัว ไม่กินอะไร ไม่คุย”

@@หวั่น จนท.เกียร์ว่าง

ปัญหาใหญ่ในความคิดของแม่เด็กหญิง คือท่าทีของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย

“วันก่อนเดินทางไปโรงพักเทพาเพื่อขอสำเนาใบแจ้งความที่แจ้งไว้กับตำรวจ เราต้องการเอาผิด ผอ.โรงเรียน เพราะเกรงว่าคดีไม่คืบหน้า แต่ทางตำรวจบอกว่ายังให้ไม่ได้ เพราะตอนนี้ยังทำสำนวนไม่เสร็จ อ้างว่า มันจะมีผลเสียต่อรูปคดี ถ้าหากเอกสารหลุดไป แต่ทางตำรวจก็ให้อ่านสำนวนว่าเหมือนที่เราไปแจ้งไว้หรือเปล่า ก็รู้สึกงงๆ และรู้สึกกังวลความปลอดภัยของลูก”

ไม่เพียงแค่เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่แม้กระทั่งนักจิตวิทยา แม่ของเด็กสาวก็ยังรู้สึกว่าทำงานไม่เต็มที่นัก

“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ไม่มีใครมา แม้กระทั่งนักจิตวิทยา เรายังต้องพาลูกไปพบที่โรงเรียน ไม่มีใครมาที่บ้านเลย ทั้งที่ลูกไม่อยากไป แต่เราก็ต้องพาไปพบ เพราะครูโทรมาให้พาไปหานักจิตฯ อีกอย่างเราก็อยากให้ลูกกลับมาเหมือนเดิม นักจิตฯมาพบที่โรงเรียนวันเดียว จากนั้นก็ไม่มีใครมาอีกเลย”

จากสภาพหลายๆ อย่างที่ต้องเจอ ทำให้แม่ของเด็กสาวอยู่ในอาการสิ้นหวัง ถึงขั้นจะพากันไปร้องมูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี เพราะกลัวว่าเรื่องของลูกสาวจะเงียบหายไปตามกาลเวลา รวมถึงอิทธิพลของคู่กรณี

@@รับไม่ได้ เหตุเกิดในรั้วโรงเรียน

ด้านน้าสาวของนักเรียนหญิงผู้เสียหาย เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกๆ ที่มีข่าวฉาวเรื่องนี้ ก่อนที่จะเป็นข่าวดังเรื่อง ผอ.โชว์ปืน เธอได้ยินเรื่องราวชู้สาวระหว่าง ผอ.กับลูกศิษย์ ยังไม่คาดคิดว่าจะเป็นหลานตัวเอง

“เรามั่นใจในตัวเด็กของเรา แต่พอมีคลิปออกมา พ่อเด็กเห็น เราก็เลยมาถามเด็ก แรกๆ เด็กไม่ยอมบอกเรา ก็พยายามคุยจนเด็กเริ่มพูด”

ความจริงที่ครอบครัวได้รับรู้รับทราบ ช่างทำร้ายความรู้สึก เพราะ ผอ.ทั้งสอนให้เด็กโกหก และการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้งเกิดขึ้นในรั้วโรงเรียน

“เหตุเกิดในโรงเรียนประมาณ 3-4 ครั้ง ก่อนที่เรื่องจะดังออกมา ส่วนใหญ่ ผอ.จะให้เด็กไปหาตอนคาบเรียนว่าง ให้ไปเจอที่บ้านพักในโรงเรียน เรื่องเกิดในรั้วโรงเรียน เด็กเล่าว่า ผอ.จะพูดหวานๆ เหมือนประมาณว่า เขาจะเป็นคนพูดเก่ง โน้มน้าวใจเด็ก หยอดคำหวาน น่ารัก คือพูดภาษาบ้านๆ ก็หมาหยอกไก่ แล้วด้วยความเป็นเด็กก็ไม่รู้เท่าทัน พอคาบว่างเขาก็จะเรียกไป”

เมื่อเรื่องแดงขึ้น ครอบครัวจึงไปคุยกับ ผอ. และเป็นเพียงแค่ 1 วันก่อนจะเกิดเหตุที่หน้าเสาธง

“ตอนแรกที่รู้ก็เข้าไปคุยกับเขา แต่ทาง ผอ.ไม่ยอมรับ คือถ้า ผอ.ยอมรับเรื่องก็จบ เราขอให้ ผอ.ออกไปจากตรงนี้ แล้วก็ให้หลานของเราได้อยู่โรงเรียนปกติ โดยไม่ต้องมี ผอ. ส่วน ผอ.จะทำอย่างไรก็ได้ แต่ ผอ.ก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้ทำ และท้าให้เราแจ้งความด้วย เขายืนยันว่าเขาไม่ได้ทำผิด แต่พอตอนเช้าก็เกิดเหตุการณ์ เอาปืนมาที่หน้าเสาธง”

@@เปิดสูท-โชว์ปืน แค่สร้างภาพ

ข่าวใหญ่เรื่องเปิดเสื้อสูทโชว์ปืน มีเสียงลือกันไปว่า ผอ.อาจกำลังคิดสั้นเตรียมฆ่าตัวตายเพราะความเครียด แต่จากที่ครอบครัวของเด็กได้สัมผัสพูดคุย พวกเขาไม่เชื่อว่า ผอ.จะทำเหมือนที่มีเสียงลือ

“คิดว่าสิ่งที่ ผอ.ทำเป็นการสร้างภาพ สร้างกระแส ถ้าคนเราจะลา จะฆ่าตัวตายจริงๆ ไปยิงที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาทำต่อหน้าเด็กเป็นพัน ไม่ต้องมาทำเหมือนจะสั่งเสีย เหมือนสั่งลา มันดูแล้วไม่ใช่ และสั่งเด็กให้ถ่ายวีดีโอ ตัดคลิปไลฟ์สด แล้วเขาก็บอกว่าทางผู้ปกครองทำให้เรื่องดัง เขาก็จะทำให้ดังกว่า เราคิดว่าเขาวางแผนมาเป็นอย่างดี”

สิ่งที่ครอบครัวยากจะยอมรับก็คือ ผอ.พูดชื่อเด็กสาวที่หน้าเสาธงด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยปรากฏเป็นข่าว เพราะคลิปเสียงฟังได้ไม่ชัดเจน

“เราติดใจที่เขาเอ่ยชื่อเด็กด้วย ตอนที่พูดหน้าเสาธง ตรงนี้เราคิดว่าจะไปแจ้งความเอาผิด ผอ.อีก 1 ข้อหา คือประจานเด็กต่อที่สาธารณะ เพราะตอนแรกที่เรื่องเกิดขึ้น นักเรียนคนอื่นๆ รวมทั้งครูบางคนแทบไม่รู้ว่า เด็ก ม.3 คนที่เกิดเรื่องคือใคร แต่ ผอ.มาบอกชื่อประจานเด็กหน้าเสาธง ทุกคนก็รู้หมดว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ถามว่าเด็กจะอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เพราะเด็กยังต้องไปเรียน”

@@แฉยัด 1 ล้านแลกไม่เอาความ

ความเสียหายที่เกิดขึ้น เทียบกันแล้วระหว่างเด็กสาวกับครูใหญ่ระดับ ผอ. ช่างแตกต่างกัน

“แม้ ผอ.จะออกไป ทำเรื่องเสร็จก็ไปอยู่ที่อื่นได้ ไปนอนกินเงินเดือน ตอนนี้เขาก็ยังกินเงินเดือนอยู่ แต่เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน พ่อแม่ก็ไปทำงานไม่ได้ เพราะแม่ต้องมาต้องมาเฝ้า พูดตรงๆ ว่าถ้าจะไกล่เกลี่ยอะไรก็ไม่เอาแล้ว เห็นว่าล่าสุดยื่นข้อเสนอมา 1 ล้านบาทกับพ่อเด็ก แต่ทางครอบครัวไม่เอา ที่เราต้องการคือให้เขาได้รับโทษสูงสุด จะได้เป็นตัวอย่างกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ”

สิ่งที่น้าของเด็กสาวผิดหวังที่สุดคือท่าทีของครูคนอื่นๆ ในโรงเรียน โดยเฉพาะฝ่ายบริหารด้วยกัน

“อยากบอกถึงฝ่ายบริหารของโรงเรียน ลองคิดว่าถ้าลูกสาวคุณถูกทำแบบนี้ คุณอยากช่วยในสิ่งที่เขาทำผิด ปกป้องเขาแบบนี้หรือเปล่า อีกอย่าง ผอ.เองก็มีลูกสาว ถามว่าถ้าโดนกับลูกคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง”

 

เธอยังฝากถึงสังคมว่าอย่าโจมตีเด็ก เพียงเพราะคิดว่าเด็กสมยอม

“อยากบอกสังคมด้วยว่า อย่าโจมตีเด็กเกินไป ขอโอกาสให้เด็กมีที่ยืนในสังคม เพราะเด็กถูกล่อลวง ไม่ได้เต็มใจ เด็กจำยอม เพราะเขามีอะไรหลายๆ อย่างมาล่อลวงเด็ก”

“สิ่งสำคัญคือเด็กรู้สึกผิด สภาพจิตใจเด็กตอนนี้แย่ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ตากับยายก็เครียดไปด้วย ปัญหาตอนนี้มันมืดไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไร เด็กไม่กินข้าว เก็บตัว เราก็พยายามดูแล คุยดีๆ ทำเต็มที่ อยากให้เขากลับมาสดใสหรือรู้สึกดีขึ้น พยายามปลอบใจ ให้กำลังใจ บ้านก็อยู่ไกลจากโรงเรียนสิบกว่ากิโลฯ ทางเข้า-ออกก็เต็มไปด้วยป่า และเด็กต้องขับรถไปโรงเรียน คิดว่ายังไม่ปลอดภัย”

ขณะที่พ่อของเด็กสาว ยืนยันตรงกันว่า ไม่รับเงินจาก ผอ. ไม่ว่าจะเสนอมาเท่าไหร่ก็ตาม

“ล่าสุดเขาเสนอเงินมา 1 ล้านบาท แล้วเรียกเราไปคุย ผมก็ไปคุยที่โรงเรียน เขาก็บอกว่าขอให้ถอนแจ้งความ แล้วเขาจะจ่ายเงินให้ 1 ล้านบาท แต่ทางเราไม่ยอม ยังไงเราก็ไม่ยอม เราอยากจะเอาเรื่องจนถึงที่สุด จะได้เป็นตัวอย่างกับคนอื่นด้วย”

@@จับตาเด็กแห่ลาออก

ผู้ปกครองนักเรียนรายหนึ่งของโรงเรียนเทพา บอกกับ “ทีมข่าวอิศรา” เมื่อวันจันทร์ที่ 8 ก.พ.64 ซึ่งเป็นวันที่โรงเรียนเปิดการเรียนการสอนอีกครั้งหนึ่งว่า ทางโรงเรียนยังไม่มีประกาศหรือชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นต่อผู้ปกครองและนักเรียน โดยเฉพาะแนวทางการแก้ปัญหา ทำให้ตอนนี้ผู้ปกครองเริ่มเสียงแตกว่า ควรจะย้ายบุตรหลานออกจากโรงเรียนนี้หรือไม่ เพราะกลัวว่าบุตรหลานจะตกอยู่ในภาวะไม่ปลอดภัย

“สิ่งที่ผู้ปกครองต้องการได้ยินมากที่สุดคือการชี้แจงจากโรงเรียน แต่ทุกวันนี้ยังไม่มีฝ่ายบริหารออกมาชี้แจงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ทั้งที่สื่อก็พยายามที่จะติดต่อ ทางเขาก็ยังไม่ยอมคุย ก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อยากเรียกร้องไปถึงเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการตรวจสอบครูฝ่ายบริหารของโรงเรียน ให้ตรวจสอบถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เชื่อว่าการกระทำที่ทำกับเด็ก ม.3 ไม่ใช่ ผอ.คนเดียวที่ทำผิด แต่เชื่อว่ายังมีครูฝ่ายปกครองร่วมทำผิดด้วย รวมถึงฝ่ายบริหารอีกหลายคนที่ยังปกป้องช่วยเหลือในหลายๆ เรื่อง”

“อยากให้ฝ่ายบริหารมีจรรยาบรรณความเป็นครู ออกมาปกป้องเด็ก ไม่ใช่ร่วมทำผิด หรือปกป้องคนผิด เข้าใจว่าเมีย ผอ.ก็เป็นครู ลูกทั้งสองคนก็เป็นครู และมี 1 คนเตรียมรอเรียกตัวไปเป็น ผอ.โรงเรียนด้วย ฝ่ายบริหารได้ประโยชน์อะไรกับพวกเขาหล่านี้ ถึงยอมปกป้อง เอาศักดิ์ศรีความเป็นครูมาแลกกับความผิดที่เกิดขึ้น”

เป็นคำถามอย่างตรงไปตรงมาถึงคณะผู้บริหารโรงเรียน และครูในโรงเรียน ซึ่งท้าทายอย่างยิ่งว่าจะเรียกความเชื่อมั่น เชื่อถือ ศรัทธาจากพ่อแม่ผู้ปกครอง ให้กลับคืนมาได้อย่างไร?

ที่มา ข่าวอิศรา

อ่านต่อ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *