สำนักจุฬาฯสะเทือน! ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ถูกบางประเทศกดดัน ต้องลาออกจากทุกตำแหน่ง

เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 64 ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความลาออกจากตำแหน่งในสำนักจุฬาราชมนตรี ลงในเฟสบุ๊กส่วนตัว Wisoot Binlateh ระบุว่า

ด้วยการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตใจของข้าพเจ้า เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกมุสลิม ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเสมือนเรือนร่างเดียวกัน จึงต้องรับรู้ถึงความสุขและทุกข์ร่วมกันนั้นได้ กลายเป็นเหตุให้สำนักจุฬาราชมนตรีถูกกดดันจากรัฐบาลของบางประเทศมุสลิม เพื่อต้องการให้ข้าพเจ้าพ้นจากตำแหน่งต่างๆ ในสำนักจุฬาราชมนตรี และการดำรงตำแหน่งต่อไปของข้าพเจ้าอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อสำนักจุฬาราชมนตรี และกระทบต่อผลประโยชน์ทางสังคมโดยรวมได้

เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่ง “ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงาน​ สำนักจุฬาราชมนตรี​ ประจำภาคใต้” ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

หนังสือลาออกฉบับนี้ของ ดร.วิสุทธิ์ ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ได้นำเรียนถึงนายอาซิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี แต่ยังไม่มีการระบุว่า ได้มีการอนุมัติลาออกแล้วหรือไม่

ตำแหน่งที่ ดร.วิสุทธิ์ ลาออกประกอบด้วย ประธานสภาเครือข่ายช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม​ สำนักจุฬาราชมนตรี ที่ดูแลเรื่องช่วยเหลือบุคคลทั้งในและต่างประเทศด้านมนึษยธรรม และผู้อำนวยการศูนย์ประสานงาน​ สำนักจุฬาราชมนตรี​ ประจำภาคใต้

ดร.วิสุทธิ์ ระบุว่า ด้วยว่า เพื่อให้องค์กรทำงานได้โดยมิถูกกดดันโดย​ “รุวัยบิเฎาะฮ”แม้ไม่มีตำแหน่งแห่งหนในสำนักจุฬาราชมนตรี​ แต่ข้าพเจ้าก็คือมุสลิมคนหนึ่งที่เป็นพลเมืองของประเทศไทย​ มีจุฬาราชมนตรีเป็น​ “อมีร” ที่จะต้องฏออัตในสิ่งที่ดี และมีหน้าที่ต้องส่งเสริมความดีและยับยั้งความชั่วตามกำลังความสามารถ

แม้ลาออกจากตำแหน่งในสำนักจุฬาราชมนตรี แต่ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ยังดำรงตำแหน่งกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และยังมีตำแหน่งเป็นอิหม่ามนักพัฒนาแห่งมัสยิดบ้านเหนือ ต.คูเต่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และนักการศาสนาผู้มีชื่อเสียงของมุสลิมไทย มีบทบาทในการให้ความรู้ วิเคราะห์ และวิจารณ์สถานการณ์โลกมุสลิมในตะวันออกกลาง

การที่ดร.วิสุทธิ์ ระบุว่า สำนักจุฬาราชมนตรีถูกกดดัน(จากการวิจารณ์)จากรัฐบาลของบางประเทศมุสลิม เพื่อต้องการให้ข้าพเจ้าพ้นจากตำแหน่งต่างๆ ในสำนักจุฬาราชมนตรีนั้น สะท้อนว่า ถูกกดดันจากต่างประเทศ คาดว่า จากการบทบาทการวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของชาติมุสลิมในตะวันออกกลาง เข้าใจว่า เป็นซาอุดิอารเบีย

ทั้งนี้ จากการติดตามบทบาทของดร.วิสุทธิ์ เข้าใจว่า มีท่าทีสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม สนับสนุนปาเลสไตน์ที่ต่อสู้กับอิสราเอล และไม่เห็นด้วยกับตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาแทรกแซงในตะวันออกกลาง และไม่เห็นด้วยกับบทบาทของอิหร่านในซีเรีย

จากจุดยืนดังกล่าว ที่ผ่านมา ดร.วิสุทธิ์ จึงได้วิจารณ์ประเทศซาอุดิอาระเบียอย่างเข้มข้น ต่อท่าทีของการคว่ำบาตรกาตาร์ที่สนับสนุนกลุ่มภราดรภาพมุสลิม การรุกรานเยเมน และล่าสุด ซาอุดิอารเบียและประเทศกลุ่มอ่าว ปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอล

ก่อนหน้านี้มีรายงานระบุว่า ท่าทีของดร.วิสุทธิ์ ต้อการวิพากษฺวิจารณ์ท่าทีของประเทศมุสลิมต่ออิสราเอล ทำให้มีความไม่พอใจบทบาทของดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ และได้กดดันไปทางสำนักจุฬาราชมนตรี

โดยเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ผศ.ดร.มูฮัมหมัดอิลยาส หญ้าปรัง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง นักวิชาการมุสลิม ที่ได้ลาออกจากรองผู้อำนวยการสถาบันวะสะฏียะฮ์เพื่อสันติภาพและการพัฒนา สำนักจุฬาราชมนตรี เพราะไม่เห็นด้วยกับท่าทีของจุฬาราชมนตรีที่จัดกิจกรรมปกป้องสถาบัน ได้โพสต์บทความในเฟสบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สงครามในเยเมนที่เริ่มขึ้นในปี 2015 เมื่อ เจ้าชายมูฮัมหมัด บินซัลมาน หรือที่เรียกขานกันว่า MBS ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดิอารเบีย พร้อมพาดพิงว่า

“ปัจจุบันการใช้อำนาจของซาอุฯลามมายังประเทศไทย มีการกดดันให้องค์กรศาสนา จัดการ กดดัน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลซาอุดิอารเบีย แน่นอนว่าองค์กรเล็กๆไม่อาจต้านแรงเสียดทานที่มีเดิมพันสูงได้ และมีนักวิชาการปัญญาชนผู้มีจิตใจเป็นธรรมสังเวยต่อการกดดันนี้แลกกับผลประโยชน์บางอย่างในนามของศาสนา”

คาดว่า เป็นการเขียนถึง กรณีดร.วิสุทธิ์ ต่อการลาออก ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์

ข้อมูล mtoday

อ่านต่อ

Leave a Comment

Your email address will not be published. Required fields are marked *